เจาะลึกเรื่องเติมน้ำยาแอร์ น้ำยาหมดจริงหรือระบบรั่ว?

เจาะลึกเรื่อง "เติมน้ำยาแอร์": น้ำยาหมดจริงหรือระบบรั่ว? คู่มือฉบับสมบูรณ์ (2026)

น้ำยาแอร์ (Refrigerant) เปรียบเสมือน "เลือด" ที่หล่อเลี้ยงหัวใจของระบบปรับอากาศ หากน้ำยาแอร์ขาดหรือหมด เครื่องปรับอากาศก็จะไม่สามารถทำความเย็นได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักและค่าไฟพุ่งสูงขึ้น

แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ... น้ำยาแอร์ต้องเติมบ่อยแค่ไหน? และอาการแบบไหนที่ต้องเรียกช่างด่วน? บทความนี้ P&A Air Service จะพาคุณไปหาคำตอบฉบับอัปเดตปี 2026 ครับ

 5 สัญญาณเตือน! อาการแบบนี้ "น้ำยาแอร์" อาจจะขาด

หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ อย่าปล่อยไว้ เพราะอาจทำให้คอมเพรสเซอร์น็อกได้:

  • ความเย็นลดลงอย่างชัดเจน: เปิดแอร์นานแล้วแต่ห้องยังไม่เย็น หรือมีแต่ลมธรรมดาออกมา
  • มีน้ำแข็งเกาะที่ท่อ: สังเกตที่ท่อทองแดงภายนอก (ท่อใหญ่/ท่อดูด) หากมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ หรือมีไอน้ำเกาะมากผิดปกติ
  • ค่าไฟแพงขึ้นผิดปกติ: เมื่อน้ำยาขาด คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อทำความเย็น ทำให้กินไฟมหาศาล
  • แอร์ตัดไม่ทำงาน: ระบบเซนเซอร์วัดอุณหภูมิทำงานผิดเพี้ยน ทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดการทำงานบ่อย หรือไม่ตัดเลย
  • เสียงฉีดน้ำยาผิดปกติ: ได้ยินเสียงฟู่ๆ เหมือนลมรั่วมาจากตัวเครื่อง หรือเสียงคอมเพรสเซอร์ดังกว่าปกติ
ความจริงที่ช่างบางคนไม่บอก: "น้ำยาแอร์หายไปไหน?"
หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องเติมน้ำยาแอร์ทุกปี แต่ความจริงแล้ว ระบบแอร์เป็น "ระบบปิด (Closed System)" น้ำยาแอร์จะหมุนเวียนอยู่ภายใน ไม่มีวันหมดและไม่ควรลดลง ตลอดอายุการใช้งาน
"หากน้ำยาแอร์ลดลง = มีจุดรั่วซึมในระบบแน่นอน 100%"

 รู้จักประเภทน้ำยาแอร์ (Check ก่อนเติม)

ก่อนเรียกช่าง คุณควรดูที่ฉลากข้างเครื่องว่าแอร์ของคุณใช้น้ำยาชนิดไหน:

ชนิดน้ำยาลักษณะการใช้งานข้อควรรู้
R32 แอร์รุ่นใหม่ (2018+) นิยมที่สุด เย็นไว ประหยัดไฟ รักษ์โลก ราคาเข้าถึงง่าย
R410A แอร์ Inverter รุ่นก่อน แรงดันสูง ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เริ่มถูกแทนที่ด้วย R32
R22 แอร์รุ่นเก่า (10 ปี+) เลิกผลิตแล้ว ราคาแพงมาก ทำลายโอโซน แนะนำเปลี่ยนแอร์ใหม่คุ้มกว่า

 ขั้นตอนการเติมน้ำยาแอร์ที่ "ถูกต้อง" (มาตรฐาน 2026)

การเติมน้ำยาแอร์ไม่ใช่แค่การอัดก๊าซเข้าไป แต่ต้องแก้ที่ต้นเหตุตามมาตรฐานวิชาชีพ:

  1. ตรวจหาจุดรั่ว (Leak Detection): ใช้เกจวัดแรงดันและเครื่องมือหารอยรั่ว ถ้าไม่เจอจุดรั่ว ห้ามเติมเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวก็หมดอีก
  2. ซ่อมรอยรั่ว: เชื่อมปิดรอยรั่ว หรือบานแฟร์ (Flare Nut) ใหม่ให้แน่นหนา
  3. ทำสุญญากาศ (Vacuum): *สำคัญที่สุด* ต้องดูดอากาศและความชื้นออกจากระบบให้หมด (30-60 นาที) เพื่อป้องกันระบบตันชื้น
  4. เติมน้ำยาตามตาชั่ง: เติมน้ำยาตามน้ำหนัก (g/kg) ที่ระบุบนแผ่นเพลทเครื่อง เพื่อความแม่นยำที่สุด
  5. วัดค่าการทำงาน: เช็คกระแสไฟ (Amp) และแรงดัน (PSI) ให้สัมพันธ์กัน

 ราคาเติมน้ำยาแอร์ + ซ่อมรั่ว (ประมาณการปี 2026)

ราคาขึ้นอยู่กับชนิดน้ำยา ขนาด BTU และความยากง่ายของหน้างาน:

  • เติมน้ำยา R32 / R410A (ปอนด์ละ): 150 - 200 บาท
  • เหมาเติม (กรณีรั่วหมดระบบ): 1,500 - 2,500 บาท (ราคารวมค่าแรงและแวคคั่มแล้ว)
  • ค่าซ่อมจุดรั่ว (เชื่อมท่อ/เปลี่ยนแฟร์): 500 - 1,500 บาท
  • น้ำยา R22: ราคาจะสูงกว่าปกติ 2-3 เท่า เนื่องจากเป็นน้ำยาที่เลิกผลิต

*หมายเหตุ: หากต้องเปลี่ยนอะไหล่ใหญ่ เช่น แผงคอยล์ หรือ คอมเพรสเซอร์ ราคาอาจสูงถึงหลักหมื่น

คำเตือน: ทำไมไม่ควรเติมน้ำยาเอง?
การเติมน้ำยาแอร์ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางและความระมัดระวังสูง หากทำผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อการระเบิดจากแรงดันสูง หรือทำให้คอมเพรสเซอร์พังจากการเติมน้ำยาเกิน (Overcharge) ได้

❄️ แอร์ไม่เย็น? สงสัยน้ำยารั่ว? ให้มืออาชีพดูแล

P&A Air Service บริการซ่อมแอร์ เติมน้ำยาแอร์ โดยทีมช่างประสบการณ์กว่า 10 ปี เราเน้น "ซ่อมรั่วให้จบ ก่อนเติมน้ำยา" เพื่อให้คุณคุ้มค่าที่สุด

ตรวจเช็คอาการฟรี (เมื่อตกลงซ่อม)
อะไหล่แท้ น้ำยาแท้ 100%
รับประกันงานซ่อมรั่ว สบายใจหายห่วง
โทรเรียกช่าง 085-025-2102
หรือทัก LINE: @paairservice

บทความโดย: P&A Air Service ผู้เชี่ยวชาญด้านแอร์และระบบความเย็น สมุทรปราการ
พื้นที่ให้บริการ: บางพลี, บางนา, กิ่งแก้ว, ลาดกระบัง

Visitors: 151,044